การนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์
คริสเตียนนมัสการตามพระวจนะกับตามความจริงที่เข้าถึง (เชิงประจักษ์) นี่คืออีกลักษณะของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
1ปต.2:4-5
4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ
As you come to him, the living Stone—rejected by humans but chosen by God and precious to him—
5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.
“เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์”
ปุโรหิตในที่นี้เจาะจงหมายถึงคริสเตียน เป็นยุคพระคุณ
ความเชื่อในพระเยซู (ยุคพระคุณ พันธสัญญาใหม่) สัมพันธ์กับคริสเตียนโดยตรงและสัมพันธ์กับการนมัสการด้วยจิตวิญญาณตามแบบที่พระเยซูกล่าวไว้
ถวายตัวเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิต:
รม.12:1-2
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
Therefore, I urge you, brothers and sisters, in view of God’s mercy, to offer your bodies as a living sacrifice, holy and pleasing to God—this is your true and proper worship.
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
รม.12:1-2 เป็นข้อสรุปว่าผู้เชื่อควรปฏิบัติตัวอย่างไรหลังพระธรรมโรมหลายบทก่อนหน้านี้อธิบายศาสนศาสตร์เรื่องพระเจ้า เรื่องความเชื่อ ความรอด การประพฤติปฏิบัติ ลงเอยด้วยให้ผู้เชื่อปฏิบัติตาม รม.12:1-2 เพื่อตอบแทน ขอบพระคุณที่พระเจ้าทรงเมตตา (พระธรรมโรมบทที่ 12-15 บรรยายชีวิตใหม่ว่าควรปฏิบัติอย่างไร)
อธิบายขยายความ: การถวายตัว “เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์” (รม.12:1) เป็นชีวิตที่สำแดงถึงการนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำคือการถวายเกียรติพระเจ้าทั้งสิ้น แม้กระทั่งทำความสะอาดบ้าน ขับรถ เรียนหนังสือ หน้าที่การงาน ชีวิตคู่ เลี้ยงลูก กินอาหาร นอนหลับ ฯลฯ
ในขั้นนี้ ชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินแต่ละวันคือการสรรเสริญนมัสการ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
หรือภายใต้กรอบนมัสการที่สรุปว่า ชีวิตคริสเตียนคือการสรรเสริญนมัสการพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
ผู้รักนมัสการทั้งหลายพึงตระหนักว่า “การร้องเพลงไม่ใช่การนมัสการ แต่ในการนมัสการมีร้องเพลง” หมายความว่าลำพังการร้องเพลงคริสเตียนไม่ใช่การนมัสการที่พระเจ้าต้องการ แม้คำสอนบัญญัติให้ร้องเพลง เล่นดนตรี ร่ายรำ
จำคำของพระเยซู “ผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ยน.4:23-24
23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
Yet a time is coming and has now come when the true worshipers will worship the Father in the Spirit and in truth, for they are the kind of worshipers the Father seeks.
24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”
“ผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง” NIV ใช้คำว่า “true worshipers”
การสรรเสริญนมัสการสูงสุดคือการที่ผู้เชื่อมุ่งมั่นดำเนินชีวิตตามนิมิตการทรงเรียก พระองค์จะนำพาเขาไปสู่จุดหมาย
ตัวอย่าง พระเยซู “ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” เพื่อทำนิมิตการทรงเรียกให้สำเร็จ
ฮบ.9:26 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้ง นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา
ด้วยหลักศาสนศาสตร์ข้างต้น (รม.12:1-2) สามารถแบ่งเป็นการนมัสการ “ตามพระวจนะ” กับ “เชิงประจักษ์”
1. การนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์
คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนมีหน้าที่สรรเสริญนมัสการ บทเพลงทั้งหลายตั้งบนหลักศาสนศาสตร์ ตามพระวจนะในไบเบิล ผู้มีประสบการณ์ในพระเจ้าจะเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ จะสรรเสริญบน “ความจริงที่เขาเข้าถึง” แน่ละความจริงที่เข้าถึงยังไม่สมบูรณ์ ไม่ครบบริบูรณ์ แต่เป็นเรื่องจริงตามประสบการณ์ ตามความเข้าใจของผู้นั้น พระวจนะบางข้อบางตอนเป็นจริงในชีวิตเขาแล้ว (พระวจนะสำแดงผ่านชีวิต)
จะเห็นว่าคริสเตียนนมัสการตามพระวจนะกับตามความจริงที่เข้าถึง (เชิงประจักษ์) นี่คืออีกลักษณะของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
1.1 นมัสการตามพระวจนะ
โยบ.36:24 "จงระลึกถึงที่จะยกย่องพระราชกิจของพระองค์ซึ่งมนุษย์ได้ร้องเพลงกล่าวถึงนั้น
โยบ.36:24 พูดถึงการนมัสการตามพระวจนะ
การนมัสการตามพระวจนะ คือสรรเสริญนมัสการบนความเชื่อตามหลักพระวจนะ เช่น พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เกรียงไกร ทรงรักมั่นคง รวมถึงคำพยากรณ์ต่างๆ (แม้โลกพิสูจน์ไม่ได้ เกินความเข้าใจ หรือยังไม่เกิดขึ้น) เช่น คริสเตียนนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิจนิรันดร์ (แม้พิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่นิรันดร์ ทรงพระชนม์ไม่สิ้นสุด) เป็นการนมัสการที่ตั้งอยู่บนความเชื่อศรัทธาตามพระวจนะ พระเยซูจะเสด็จกลับมารับเราไปสวรรค์ (ยังไม่เกิดขึ้น) การนมัสการแบบนี้สมบูรณ์ในเชิงศาสนศาสตร์ ตามพระวจนะ
สังเกต สดด.105:4 กับ 1พศด.16:11
สดด.105:4 จงแสวงหาพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป
1พศด.16:8-11
8 จงโมทนาพระคุณพระเจ้า และร้องทูลออกพระนามพระองค์จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
9 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
10 จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์
11 จงแสวงพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป
สดด.105 เป็นบทเพลงแต่งขึ้นหลัง 1พศด. เป็นการนำส่วนหนึ่งของ 1พศด.16 มาทำเป็นบทเพลงใหม่ (พระธรรมสดุดีเดิมคือหนังสือเพลง) เป็นตัวอย่างหนึ่งของการแต่งเพลง (การนมัสการ) ตามพระวจนะที่ทำตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม
คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนต้องนมัสการบนหลักพระวจนะ แม้ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ครบถ้วน พระวจนะเป็นเป้าหมายและเป็นกรอบของการนมัสการ จะนมัสการบนหลักการที่ผิดจากพระวจนะไม่ได้
ตัวอย่าง คำเผยพระวจนะพระเยซูถูกตรึงกางเขนในพระธรรมสดุดี
สดด.22:16 พระเจ้าข้า บรรดาสุนัขล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ คนทำชั่วหมู่หนึ่งล้อมข้าพระองค์ เขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์
สดด.22:18 เสื้อผ้าของข้าพระองค์เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับฉลากกัน
สดด.118:22-23 (ถูกอ้างถึงใน มก.12:10-11)
22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว
23 การนี้เป็นมาจากพระเจ้า เป็นการมหัศจรรย์ประจักษ์ตาเรา
พระธรรมสดุดีมีก่อนพระเยซูได้เผยพระวจนะบางเรื่องราวที่ยังไม่เกิดในตอนนั้น
พระธรรมวิวรณ์พูดถึงอนาคต คริสเตียนสามารถร้องนมัสการตามเนื้อหาหลักการพระธรรมวิวรณ์
วว.4:8-11
8 สัตว์ทั้งสี่นั้นมีปีกหกปีกและมีตาทั้งรอบนอกและข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"
9 เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำโมทนาแด่พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์คราวใด
10 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงถวายบังคมพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า
11 "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"
ตัวอย่าง บทเพลงสดด.99:1-5 ในฐานะนมัสการตามพระวจนะ
สดด.99:1-5
1 พระเจ้าทรงครอบครอง ให้ชนชาติทั้งหลายตัวสั่นพระองค์ประทับเหนือเครูบ ให้แผ่นดินโลกหวั่นไหว
2 พระเจ้าใหญ่ยิ่งอยู่ในศิโยน พระองค์สูงเด่นอยู่เหนือประชาชาติทั้งปวง
3 ให้เขาสรรเสริญพระนามอันยิ่งใหญ่และน่าคร้ามกลัวของพระองค์ พระองค์ศักดิ์สิทธิ์
4 ข้าแต่กษัตริย์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงรักความยุติธรรม พระองค์ทรงสถาปนาความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงประกอบความยุติธรรม และความชอบธรรมขึ้นในยาโคบ
5 จงยอพระเกียรติพระเจ้าของเรา นมัสการที่แท่นรองพระบาทของพระองค์ พระองค์บริสุทธิ์
สดด.99 เป็นบทเพลงสรรเสริญ ผู้ประพันธ์แต่งตามศาสนศาสตร์ (เรื่องเครูบอยู่ในพระคัมภีร์) ร้องบรรยายพระเจ้าตามศาสนศาสตร์
อย่างไรก็ตาม หากผู้ร้องมีประสบการณ์ตามเนื้อเพลง (สดด.99:3-5) จะเป็นการนมัสการเชิงประจักษ์ร่วมด้วย
1.2 เชิงประจักษ์
เชิงประจักษ์คือสรรเสริญนมัสการบนประสบการณ์รู้จักพระเจ้า ความเข้าใจพระวจนะที่ผู้เชื่อคนนั้นเข้าถึง เห็นจริงตามนั้น มีประสบการณ์ตรง เช่น สรรเสริญพระเจ้ายิ่งใหญ่เมื่อช่วยรักษาโรคร้าย ช่วยแก้ปัญหาของเขา เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเห็นความยิ่งใหญ่การอัศจรรย์ ร้องสรรเสริญบรรยายความรักสันติสุขที่เขาได้รับ
ความสำคัญของเชิงประจักษ์คือเป็นความจริงสำแดงผ่านชีวิตผู้นมัสการ ถ้าขาดข้อนี้คริสเตียนคนนั้นจะเป็นผู้เชื่อศรัทธาที่นับถือศาสนาคริสต์ แค่ร้องเพลงคริสเตียน
พระเจ้ากล่าวโทษอิสราเอลในพระธรรมมาลาคีที่นมัสการเพียงรูปแบบ ทำพิธีกรรมแต่เปลือกนอก จิตใจห่างไกลพระเจ้า พระองค์เบื่อหน่าย
มลค.1:10 โอ อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้าและเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า
“เราไม่พอใจเจ้าและเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า”
ผู้เชื่อยังรอเวลาเติบโตสู่ความไพบูลย์ การนมัสการเชิงประจักษ์จึงจำกัดอยู่ในกรอบผู้เชื่อแต่ละคน
ตัวอย่าง คนง่อย “ร้องสรรเสริญพระเจ้า” เมื่อพระเยซูรักษาให้เขาเดินได้อีกครั้ง
ลก.5:24-26
24 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้" (พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า) "เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด"
25 ในทันใดนั้นเขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้นกลับไปบ้านของตน พลางร้องสรรเสริญพระเจ้า
26 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจมากยิ่งนัก และได้สรรเสริญพระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความกลัว และพูดว่า "วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด"
ผู้เชื่อที่มีประสบการณ์การช่วยเหลืออวยพรอย่างอัศจรรย์จะสรรเสริญพระเจ้า เป็นการนมัสการเชิงประจักษ์
ตัวอย่าง อพย.15:1-18 เพลงแรกของยุคโมเสส
อพย.15:1-6
1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเจ้าว่า "ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
2 พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์
3 พระเจ้าทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์
4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบ และโยนพลโยธาของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง
5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึก ประดุจก้อนหิน
6 ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ทรงอานุภาพยิ่ง ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงทำลายศัตรูให้พินาศไป
เนื้อเพลงเริ่มต้นที่ "ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ... จบที่ข้อ 18 บรรยายเหตุการณ์พระเจ้าช่วยกู้อิสราเอลจากกองทัพฟาโรห์ (ต่อจากอพย.14) เนื้อหาคือพระราชกิจครั้งนี้ สะท้อนความยิ่งใหญ่ พระลักษณะพระองค์
มีตัวอย่างมากมายที่ผู้เชื่อแต่งบทเพลง สรรเสริญนมัสการบนประสบการณ์กับพระเจ้า (เชิงประจักษ์) ทั้งที่บันทึกในไบเบิลกับที่เป็นบทเพลงคริสเตียน
ผู้เผยพระวจนะเดโบราห์ถวายบทเพลงแด่พระเจ้าหลังชนะสงคราม วนฉ.5 คือบทเพลง (จบที่ข้อ 30)
วนฉ.5:1-2
1 แล้วนางเดโบราห์กับบาราคบุตรอาบีโนอัมจึงร้องเพลงในวันนั้นว่า
2 "จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า ด้วยว่าบรรดาประมุขได้นำคนอิสราเอล และประชาชนก็สมัครใจช่วย
วนฉ.5:31 ข้าแต่พระเจ้า ขอศัตรูทั้งปวงของพระองค์พินาศสิ้นดังนี้ แต่ขอให้ผู้ที่รักพระองค์เปรียบดังดวงอาทิตย์ เมื่อโผล่ขึ้นด้วยอานุภาพ และแผ่นดินก็หยุดพักสงบอยู่สี่สิบปี
“So may all your enemies perish, LORD! But may all who love you be like the sun when it rises in its strength.” Then the land had peace forty years.
2ซมอ.22 ทั้งบท (มี 51 ข้อ) เป็นบทเพลงที่ดาวิดถวายพระเจ้าเรื่องการช่วยกู้ เป็นประการณ์ของดาวิด
2ซมอ.22:1-3, 50-51
1 เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิดให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน และให้พ้นจากพระหัตถ์ของซาอูล ดาวิดก็ถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แด่พระเจ้า
2 พระองค์ท่านตรัสว่า "พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
3 เป็นพระเจ้า ซึ่งทรงเป็นพระศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ เป็นโล่ และเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าองค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
50 "ข้าแต่พระเจ้า เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่พระราชาของพระองค์และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้ที่ทรงเจิมของพระองค์ แก่ดาวิดและพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์
ตัวอย่าง สดด.23:1-4
สดด.23:1-4
1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
The LORD is my shepherd, I lack nothing.
2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
He makes me lie down in green pastures, he leads me beside quiet waters,
3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
he refreshes my soul. He guides me along the right paths for his name’s sake.
4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
Even though I walk through the darkest valley, I will fear no evil, for you are with me; your rod and your staff, they comfort me.
ดาวิดแต่งบทเพลงสดด.23:1-4 บรรยายประสบการณ์การดูแลจากพระเจ้าเทียบกับการเลี้ยงแกะตามบริบทของเขาที่เคยเลี้ยงแกะมาก่อน
ดาวิดเป็นอีกคนที่เล่า “คำพยาน” ผ่านบทเพลง
สดด.28:7 พระเจ้าทรงเป็นพระกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้าจิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ และจิตใจของข้าพเจ้าก็ปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
“ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า” - การนมัสการเชิงประจักษ์
การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงจะเกิดผ่านผู้เชื่อ บนฐานความเติบโตฝ่ายวิญญาณ บริบทชีวิตในขณะนั้น (โมเสสบรรยายเรื่องที่พระเจ้าช่วยเหลือขณะออกจากอียิปต์ ดาวิดพูดถึงการเลี้ยงแกะ) ประสบการณ์สัมผัสพระเจ้า
คริสเตียนผู้เชื่อแต่ละคนควรพัฒนาการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงของตนให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พระองค์ปรารถนาให้เติบโตถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์
คนที่ปากร้องว่ารักพระเจ้า แต่ชีวิตแทบไม่เปลี่ยน ... เขารักอะไรกันแน่
คนที่ปากร้องว่ารักพระเจ้า แต่มีประสบการณ์สัมผัสพระองค์เพียงเล็กน้อย ... เขาเข้าใจคำว่าอากาเป้ (agape) หรือไม่
คนที่ปากร้องว่ารักพระเจ้า แต่ไม่สนใจอธิษฐานอ่านพระคัมภีร์นมัสการส่วนตัว ... พระเจ้าคิดเห็นต่อคนนั้นอย่างไร
ไม่มีใครหลอกพระองค์ได้ พระเจ้าจะพิพากษาด้วยความยุติธรรม
ใครเล่าจะพ้นมือพระองค์
2. มีทั้งตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์ร่วมกัน
สดด.119:7 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยใจเที่ยงตรง เมื่อข้าพระองค์เรียนรู้กฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์
I will praise you with an upright heart as I learn your righteous laws.
สดด.119:7 พูดถึงผู้เชื่อนมัสการด้วยใจที่ถูกต้องเพราะยึดคำสอน บรรยายการนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์ร่วมกัน
การมีทั้งตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์ร่วมกันทำให้การนมัสการอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง มุ่งสู่ความสมบูรณ์ ประกาศพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ในชีวิตผู้นมัสการนั้น
พระคัมภีร์บางตอนสามารถเป็นทั้งการนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์พร้อมกัน
ตัวอย่าง 1พศด.16:8-12
1พศด.16:8-12
8 จงโมทนาพระคุณพระเจ้า และร้องทูลออกพระนามพระองค์จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
9 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
10 จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์
Glory in his holy name; let the hearts of those who seek the LORD rejoice.
11 จงแสวงพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป
Look to the LORD and his strength; seek his face always. (NIV)
12 จงระลึกถึงการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ การอัศจรรย์และคำพิพากษาแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์
คริสเตียนผู้เชื่อจะร้องทั้งตามพระวจนะกับตามหลักคำสอนที่เป็นจริงในชีวิตของเขา ไม่เพียงโมทนาพระคุณตามคำสอนเท่านั้นแต่ขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริง เพราะมีประสบการณ์เรื่องราวที่เขาขอบคุณพระเจ้า ดังนั้นเมื่อร้องจะร้องอย่างมีความหมาย เนื้อหาบางข้อบางตอนสอดคล้องกับชีวิต ร้องบอกรักพระเจ้าเพราะมีใจรักพระองค์จริง พระเจ้ายิ่งใหญ่ ทำการอัศจรรย์ “ในชีวิตของเขา” (ไม่ใช่แค่คำสอนในพระคัมภีร์ ไม่ใช่แค่เรื่องราวของโมเสส ดาวิด) แต่ร้องเป็น “คำพยาน” ส่วนตัวของเขา
ให้การสรรเสริญนมัสการเป็น “คำพยาน” ของท่าน (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
ยิ่งเชิงประจักษ์สะท้อนพระวจนะมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการนมัสการที่สมบูรณ์แบบ
ในภาพใหญ่ เมื่อที่ประชุมสรรเสริญนมัสการ ร้องเพลงจากใจ เท่ากับทุกคนกำลัง “กล่าวคำพยาน” บอกว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระลักษณะเป็นอย่างไร กำลังประกอบพระราชกิจอะไร
นี่คืออีกลักษณะของการนมัสการด้วย "จิตวิญญาณและความจริง"
รวมความแล้ว การสรรเสริญตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์ร่วมกันทำให้การนมัสการสมบูรณ์แบบ ในความหมายว่าได้ประกาศพระบารมีทั้งเชิงศาสนศาสตร์กับที่เป็นจริงในชีวิตผู้เชื่อแต่ละคน
พระเจ้าไม่ใช่เพียงเรื่องราวในไบเบิล ยังเป็นจริงในวันนี้ ในชีวิตผู้เชื่อศรัทธาแต่ละคน
คำสอนการนมัสการจากการนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์:
พระคัมภีร์บันทึกคำสรรเสริญนมัสการมากมาย (ทั้งที่เป็นเพลงกับคำพูด) บทสรรเสริญนมัสการทั้งหลายตั้งอยู่บนหลักการพระคัมภีร์ ประสบการณ์บริบทส่วนตัว หลายข้อหลายตอนสะท้อนความเป็นตัวเขาในตอนนั้นๆ กำลังเข้มแข็งหรืออ่อนแอ โห่ร้องมีชัยหรือร้องหาความช่วยเหลือ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงเขาเชื่อศรัทธาพระเจ้า
ยิ่งเข้าใจมาก มีประสบการณ์มาก ยิ่งบรรยายพระราชกิจได้มากและลึกซึ้ง พระองค์พาเขาโลดแล่นผ่านเรื่องราวต่างๆ เรียนรู้จักพระองค์ผ่านประสบการณ์มากมายจนถึงปลายทางชีวิต ยึดความเชื่อไว้มั่นและมั่นคงยิ่งขึ้น ชีวิตสำแดงพระลักษณะมากขึ้น พระวจนะข้อแล้วข้อเล่ากลายเป็นจริงในชีวิตของเขา
ชีวิตสำแดงพระลักษณะมากขึ้น พระวจนะกลายเป็นจริงในชีวิตของเขา (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
การนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
กล่าวได้ว่าชีวิตนักนมัสการคือชีวิตแห่งการหลอมรวมการนมัสการตามพระวจนะกับเชิงประจักษ์
ในที่นี้นำเสนอบางวิธีที่ช่วยหลอมรวม ดังนี้
1. ศึกษาเข้าใจพระวจนะอย่างลึกซึ้ง
แม้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ด้านการนมัสการ จำต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ไม่ใช่แค่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการ เพราะพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนสัมพันธ์กัน ความเข้าใจที่สมบูรณ์ต้องผ่านการศึกษาทั้งเล่ม
อย่าให้ความสำคัญกับความรู้ทักษะด้านการร้อง การดนตรี ฯลฯ เท่านั้น
ท่านสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่นักร้องนักดนตรี
การอ่านพระคัมภีร์ส่วนตัวสำคัญมาก ให้ความเข้าใจ เป็นโคมส่องเท้า เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ ฯลฯ เป็นเครื่องมือช่วยให้เข้าถึงพระเจ้า ผู้เชื่อจะถวายเกียรติมากได้อย่างไรหากทำถูกๆ ผิดๆ จิตวิญญาณไม่เข้มแข็งพอ
การเฝ้าเดี่ยวควรเป็นกิจวัตรประจำวันของนักนมัสการ
สูงขึ้นอีกขั้นคือศึกษาพระวจนะตามวิธีการต่างๆ
2. สำแดงชีวิตผู้เชื่อที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ
อธิบายแบบรวบรัด ข้อนี้คือการนมัสการเชิงประจักษ์นั่นเอง
1คร.6:17 แต่ส่วนคนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจอันเดียวกันกับพระองค์
But whoever is united with the Lord is one with him in spirit.
คริสเตียนที่ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่มั่นใจหรือยอมรับว่าพระเจ้าดี (แสนดี) การร้องสรรเสริญเป็นประโยชน์แต่ไม่ครบบริบูรณ์ตามที่พระองค์ต้องการ
ผู้รู้จักพระเจ้า สัมพันธ์ใกล้ชิดพระองค์ การสรรเสริญนมัสการ “บรรยายความสัมพันธ์” ระหว่างเขากับ “พระเจ้าของเขา”
เขากำลัง “นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเจ้าที่เขารู้จัก (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
คนที่จะสัมพันธ์สนิทได้ต้องไม่รักบาป แต่รักที่จะดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ นี่คือหลักพื้นฐานที่จะนำสู่ “ความผูกพัน”
ฮชย.6:6 เพราะเราประสงค์ความรักมั่นคงไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา เราประสงค์ความรู้ในพระเจ้ายิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา
For I desire mercy, not sacrifice, and acknowledgment of God rather than burnt offerings. (NIV)
For I delight in loyalty rather than sacrifice, And in the knowledge of God rather than burnt offerings. (NASB)
เราต้องการความรักที่มั่นคงไม่ใช่ต้องการเครื่องสัตวบูชา เราปรารถนาจะให้ประชากรของเรารู้จักเรา มากกว่าให้เขาเผาถวายเครื่องบูชาต่อเรา" (โฮเชยา 6:6 ประชานิยม)
อธิบายขยายความ: รากศัพท์คำว่า “ความรู้” หรือ “acknowledgment” (NIV) ในข้อนี้คือ דַּעַת (อ่านว่า dah'-ath) หมายถึง ความรู้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ภาวะรับรู้เข้าถึง มีทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งหมดคือนิยามคำว่าความรู้ (knowledge)
พบใช้ในหลายที่ เช่น
ปฐก.2:17 สำนึก การรู้ถึง (ภาวะรับรู้เข้าถึง)
ปฐก.2:17 เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"
ปฐก.35:31 ความรู้ (มีทักษะ - ไม่ใช่แค่รู้ทฤษฎี)
ปฐก.35:31 และพระองค์ได้ทรงให้ผู้นั้นประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าให้มีสติปัญญาและความเข้าใจ และความรู้ในการช่างฝีมือต่างๆ
ยชว.4:24 ทราบว่า (ภาวะรับรู้เข้าถึง ไม่ใช่แค่ความรู้ตามตัวหนังสือ)
ยชว.4:24 เพื่อชนชาติทั้งหลายทั่วพิภพจะได้ทราบว่า พระหัตถ์พระเจ้านั้นทรงฤทธิ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นนิตย์
โยบ.21:14 ความรู้ (ความรู้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด)
โยบ.21:14 เขาทูลพระเจ้าว่า "ขอจากเราไปเสีย เพราะเราไม่ปรารถนาความรู้ในทางของท่าน
วลี “ความรู้ในพระเจ้า” หรือ “acknowledgment of God” ใน ฮชย.6:6 จึงไม่ใช่ความรู้ตามตัวอักษรหรือตามบทบัญญัติเท่านั้น ยังหมายถึงภาวะรับรู้ เข้าถึงการมีอยู่จริง การทรงพระชนม์อยู่จริง เป็นประสบการณ์ส่วนตัว
รวมความแล้ว รากศัพท์กับการแปลคำว่า “ความรักมั่นคง” กับ “ความรู้ในพระเจ้า” ในฮชย.6:6 นั้นหลากหลาย
แต่ถ้าพิจารณาเนื้อหาสาระจะพบว่าพระเจ้าต้องการใจมากกว่าพิธีกรรม
พระเจ้าต้องการใจที่รักพระองค์ ซื่อสัตย์จงรักภักดี มีเมตตา (ศัพท์ “ความรักมั่นคง”) ใจที่อยากรู้จักพระเจ้า อยากรู้เรื่องพระองค์ (ศัพท์ “ความรู้ในพระเจ้า”) มากกว่าการถวายสัตวบูชาหรือการเครื่องเผาบูชา พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ผิดพระเจ้าบัญญัติให้ทำเอง แต่กำลังสอนให้เข้าใจความหมาย ความต้องการที่แท้จริง เบื้องหลังของพิธีกรรมเหล่านั้น
พิธีกรรม (ในที่นี้คือการถวายเครื่องบูชา) เป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือแสวงหาพระเจ้า ใกล้ชิดพระองค์
การประกอบพิธีกรรม ทำศาสนกิจโดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงจึงไร้ประโยชน์ (หรือได้น้อย) หากทำต่อเนื่องนานๆ จะกลายเป็นการนับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนกิจ
ผู้ที่นับถือพระเจ้าเพียงตามตัวอักษร ตามคำสอน คนนั้นเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ต้องการเช่นนั้น ประสงค์ให้เข้าถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา
อย่าให้งานปรนนิบัติรับใช้เป็นเพียงการประกอบพิธีกรรม ปฏิบัติศาสนกิจ หวังรูปแบบเปลือกนอกมากกว่าจิตวิญญาณใกล้ชิดพระเจ้า
จงสำแดง จงพิสูจน์ตัวว่าท่านคือนักนมัสการพระเจ้าเชิงประจักษ์ ปรนนิบัติรับใช้ด้านการนมัสการ
พระองค์ทรงเฝ้ามอง เอาใจช่วยเสมอ
สดด.14:2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
The LORD looks down from heaven on all mankind to see if there are any who understand, any who seek God.
สดด.14:2 สอนว่าคุณสมบัติหรือลักษณะชีวิตของนักนมัสการ คือ ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า จนพบพระองค์ สัมผัสพระเจ้ามากขึ้นๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าที่เป็นจริงในชีวิต “ของเขา” ไม่ใช่แค่อยู่ในพระคัมภีร์
3. นมัสการตามบทเพลงและสะท้อนจิตวิญญาณ
นมัสการตามบทเพลงและให้สะท้อนความเป็นตัวเรา ให้เสียงร้องเสียงดนตรีคือเสียงจากใจ จากจิตวิญญาณของเรา (ตามบทเพลงคือตามพระวจนะ จากใจจากจิตวิญญาณคือเชิงประจักษ์)
ผู้ปรนนิบัติรับใช้ด้านการนมัสการหมั่นฝึกฝนจนสามารถร้องเพลงเล่นดนตรีอย่างชำนาญคล่องแคล่ว ไม่ต้องดูเนื้อเพลงหรือโน้ตดนตรี ให้ปากสามารถร้องได้แบบอัตโนมัติ นิ้ววิ่งไหลตามโน้ตที่อยู่ในใจ ให้ปากมือเท้า (ทั้งร่างกาย) ทำหน้าที่อย่างถูกต้องขณะใจจดจ่อที่พระเจ้า
ฝึกจนปากมือเท้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้องขณะที่ใจจดจ่อที่พระเจ้า จะช่วยให้เสียงร้องเสียงดนตรีคือเสียงจากใจ จากจิตวิญญาณ
พึงตรวจสอบให้การนมัสการ “ตามพระวจนะ” กับ “เชิงประจักษ์” ไปด้วยกัน ไม่ขัดแย้งกัน ยิ่งเข้าใจพระวจนะจะยิ่งสนับสนุนเชิงประจักษ์ ยิ่งเข้าถึงเชิงประจักษ์จะยิ่งเข้าใจพระวจนะ วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงที่พัฒนาเติบโตมากขึ้นตามลำดับ
--------------------
วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (26): ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
ชีวิตผู้เชื่อศรัทธาคือชีวิตที่ดำเนินไปกับพระเจ้า เริ่มต้นเมื่อกลับใจใหม่
ตัวอย่าง เอโนคตั้งใจดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ทรงอยู่กับเขาและรับรองเขา
ปฐก.5:24 เอโนคดำเนินกับพระเจ้า แล้วหายหน้าไป เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป
Enoch walked faithfully with God; then he was no more, because God took him away.
(โจทย์: จงอธิบายปฐก.5:24 โดยใช้หลัก “ตามพระวนจะ” กับ “เชิงประจักษ์” ที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน)
วิธีการง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้ดังนี้
1. แสวงหาพระเจ้า
ชีวิตต้องการหลายสิ่งหลายอย่าง ให้แสวงหาพระเจ้าเป็นหลัก
2. เปลี่ยนชีวิต-ชีวิตเปลี่ยน
คริสเตียนที่ชีวิตเปลี่ยนจะมีประสบการณ์กับพระเจ้า สัมผัสพระองค์
อยากเห็นพระเจ้าสัมผัสพระองค์ พระเยซูสอนให้ทำดังนี้ ...
มธ.5:8 "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
Blessed are the pure in heart, for they will see God.
ใจบริสุทธิ์ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ชอบธรรมตามนิตินัย เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์
พระเจ้าไม่ใช่คริสเตียนและคริสเตียนไม่ใช่พระเจ้า แต่คริสเตียนเป็นตัวแทนพระเยซูในโลกปัจจุบัน สำแดงพระลักษณะมากขึ้นๆ
3. ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
ดำเนินชีวิตกับพระเจ้าเป็นกระบวนการที่เคลื่อนไป เป้าหมายสุดท้ายคือรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ จะสำเร็จบริบูรณ์เมื่อทุกสิ่งสำเร็จตามน้ำพระทัย บรรดาผู้เชื่อทั้งหลายได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์เป็นนิจ
วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง
สดด.115:17-18
17 คนตายไม่สรรเสริญพระเจ้า หรือผู้ที่ลงไปสู่ที่สงัดก็เช่นนั้น
18 แต่เราทั้งหลายจะสรรเสริญพระเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
ผู้เชื่อศรัทธานมัสการพระเจ้าตั้งแต่วันนี้และสืบไปเป็นนิตย์
“จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด”
….
จิตข้าสรรเสริญ วิญญาณจิตอิ่มเอม
เปี่ยมด้วยสันติสุขและความยินดี
ผู้ทรงเปิดเผยให้เข้าถึง
ผู้ทรงนำข้าไป
ผู้ทรงอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้และสืบไป
จงสรรเสริญพระเจ้า
....
1พศด.16:10-11
10 จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์
Glory in his holy name; let the hearts of those who seek the LORD rejoice.
11 จงแสวงพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป
Look to the LORD and his strength; seek his face always.
พระสัญญา “ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์”
------------------------