บทเรียน 4 จริงหรือคนไม่มีพระเจ้ามีความสุขแท้
บางคนร่ำรวยมีชื่อเสียง สังคมนับถือว่าประสบความสำเร็จ หลายครั้งเห็นพวกเขามีความสุข คำถามคือจริงๆ แล้วพวกเขามีความสุข มีสันติสุขจริงหรือ อะไรเป็นต้นเหตุความทุกข์
ผู้คนมากมายทั่วโลกดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางคนทำได้ดีกว่านั้นคือแสวงหาความมั่งคั่ง เก็บสะสมได้มาก มีชื่อเสียงอำนาจบารมี สังคมนับถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ น่าจะมีความสุขมาก หลายครั้งเห็นพวกเขามีความสุข คำถามคือจริงๆ แล้วพวกเขามีความสุข มีสันติสุขจริงหรือ
อ่านโยบ.15:14-35
คำถามก่อนเรียน :
1) ท่านเคยพบคนที่มีหลายสิ่งหลายอย่าง มั่นคงร่ำรวย น่าจะมีความสุขมาก แต่บางครั้งพวกเขาทุกข์ พยายามหาวิธีหนีความทุกข์ ท่านคิดเห็นอย่างไร
2) ท่านเคยมีประสบการณ์อยู่ใกล้ผู้ป่วยใกล้ตายหรือไม่ สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ทุกคนบาปแม้กระทั่งเด็กแรกเกิด :
มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมบาปติดตัว ไม่มีใครบริสุทธิ์
โยบ.15:14 มนุษย์เป็นอะไรเล่า เขาจึงจะสะอาดได้ หรือเขาผู้เกิดมาโดยผู้หญิงเป็นอะไร เขาจึงชอบธรรมได้
เมื่ออาดัมเอวาทำบาป รับคำสาปอันเป็นผลแห่งบาป ลูกหลานที่เกิดตามมาทุกคนพลอยมีบาปติดตัวและอยู่ในคำสาปด้วย
ปฐก.3:16-19, 22-23
16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า"
17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม
18 แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต
แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา
19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"
22 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิดมนุษย์มาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้สำนึกในความดีและความชั่ว บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลต้นไม้แห่งชีวิตมากิน แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์"
23 เพราะเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงขับไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้ไปทำไร่ทำสวนในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น
ลูกหลานที่เกิดตามมาจึงมีบาปติดตัว ทั้งยังทำบาปเพิ่มอีก มนุษย์ไม่สามารลบล้างความบาปเหล่าด้วยการทำความดีประพฤติชอบ ความดีไม่อาจลบล้างบาป ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงมีบาป ทั้งบาปที่ติดตัวจาก อาดัมเอวากับบาปที่ทำเอง ในสายพระเนตรพระเจ้าพวกเขาเป็นคนอธรรม
สิ่งที่คนอธรรมต้องพบเจอ จากโยบ บทที่ 15 :
มนุษย์ต้องรับผลของบาปที่ติดตัวกับบาปที่ก่อเอง ดังนี้
1. มีความทุกข์ทรมานอยู่เสมอ
โยบ.15:20 คนอธรรมทนทุกข์ทรมานตลอดอายุของเขา ตลอดปีทั้งปวงที่ได้กำหนดไว้สำหรับผู้บีบบังคับ
All his days the wicked man suffers torment, the ruthless man through all the years stored up for him.
ต้องเผชิญความทุกข์ยากนานัปการ ไม่หยุดหย่อน บางคนอาจมีชื่อเสียง อำนาจบารมี วัตถุของมีค่า มีเครื่องบำรุงบำเรอมากมาย แต่ลึกๆ แล้วขาดสันติสุข จิตสำนึกฟ้องผิดอยู่เสมอ
2. ได้ยินข่าวหรือคิดเอาเองว่าจะมีคนทำร้าย
จิตใจไม่สงบ หวาดผวา ขาดสันติสุข ในสมองเต็มด้วยข้อมูลหรือจินตนาการว่ามีคนจ้องทำร้ายอยู่เสมอ
โยบ.15:21 เสียงที่น่าคร้ามกลัวอยู่ในหูของเขา ผู้ทำลายจะมาเหนือเขาในยามมั่งคั่ง
Terrifying sounds fill his ears; when all seems well, marauders attack him.
3. คิดว่าสุดท้ายหนีไม่พ้นความเลวร้ายและต้องตายในที่สุด
โยบ.15:22 เขาไม่เชื่อว่าเขาจะกลับออกมาจากความมืดเขาจะต้องตายด้วยดาบ
He despairs of escaping the realm of darkness; he is marked for the sword.
ผลข้อนี้ต่อจากข้อที่แล้ว แม้พยายามระมัดระวังป้องกันตัวเอง ต่อสู้เต็มที่ สามารถต้านทานได้นาน แต่ท้ายที่สุดจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายและเสียชีวิต ในตอนท้ายจึงหมดหวัง หมออาลัยตายอยาก บางคนอาจคิดฆ่าตัวตาย
ตรงข้ามกับคนของพระเจ้า ที่เขามีความหวังใจ แม้อยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เพราะพระเจ้าเป็นความหวัง ช่วยเหลือฟื้นฟู นำความรอด
มคา.7:8 ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระเจ้าจะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า
4. ชีวิตคือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดไปวันๆ
ต้องพยายามที่จะอยู่รอด อดทนทำงานหากิน โดยรู้ดีว่าสุดท้ายก็ต้องตาย ชีวิตคือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดไปวันๆ พยายามซื้อหาความสุขใส่ตัวเท่าที่จะทำได้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้
โยบ.15:23 เขาพเนจรไปเพื่อหาอาหาร กล่าวว่า "อยู่ที่ไหนนะ" เขาทราบอยู่ว่า วันแห่งความมืดอยู่แค่เอื้อม
He wanders about for food like a vulture; he knows the day of darkness is at hand.
5. ใจแข็งแค่ไหนก็เอาชนะความทุกข์ระทมไม่ได้
บางคนพยายามเอาชนะความทุกข์ระทมด้วยการแข็งใจ หรือด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่สุดท้ายสู้ไม่ได้ ความน่าหวาดกลัวท่วมท้นจิตใจ เปรียบเหมือนเผชิญหน้าพระราชาที่เป็นศัตรูนำทัพเตรียมเข้าโจมตี ความหวาดกลัวต่อกองทัพข้าศึกอันเกรียงไร คิดถึงผลอันเลวร้ายของสงคราม เวลายิ่งผ่านยิ่งน่ากลัว
โยบ.15:24 ความทุกข์ใจและความแสนระทมทำให้เขาคร้ามกลัวมันชนะเขา เหมือนอย่างพระราชาเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการศึก
Distress and anguish fill him with terror; troubles overwhelm him, like a king poised to attack
6. สิ่งที่เขามีจะไม่ทนทาน
โยบ.15:28-29
28 และได้อาศัยอยู่ในหัวเมืองร้างเปล่า ในเรือนซึ่งมนุษย์ไม่ควรจะอยู่ ซึ่งทรงกำหนดไว้ให้เป็นกองสลักหักพัง
29 เขาจะไม่มั่งมี และทรัพย์สมบัติของเขาจะไม่ทนทาน และข้าวของของเขาจะไม่เพิ่มพูนในแผ่นดิน
ในช่วงหนึ่งของชีวิตบางคนอาจโอ้อวดว่ามั่งมี เรืองอำนาจ อยู่ดีกินดี แต่สิ่งที่โลกมอบให้ไม่ยั่งยืน เขาจะเห็นความร่วงโรยและอาจไม่เหลืออะไร หลายคนยากจนข้นแค้นตลอดชีวิต ที่มีน้อยอยู่แล้วจะเหลือน้อยกว่าเดิม ยิ่งคิดถึงความตายยิ่งเศร้าใจเพราะสิ่งที่มีช่วยไม่ได้
7. หนีไม่พ้นความตาย
สุดท้ายหนีไม่พ้นความตาย หนีไม่พ้นบาปแม้จะพยายามมากแล้วก็ตาม
โยบ.15:30-31
30 เขาจะหนีจากความมืดไม่พ้น เปลวเพลิงจะทำให้หน่อของเขาแห้งไป และโดยลมพระโอษฐ์เขาจะต้องจากไปเสีย
31 อย่าให้เขาวางใจในความอนิจจัง ลวงตัวเขาเองเพราะความอนิจจังเป็นสิ่งตอบแทนเขา
หลายคนโดนมารซาตานหลอกให้ทุ่มเทเวลาความสามารถเพื่อสิ่งที่ไม่ยั่งยืน มาคิดได้อีกทีชีวิตเหลือเวลาน้อยเต็มที
8. ต้องรับโทษของบาปขณะอยู่ในโลกนี้
โยบ.15:32-33
32 จะชำระให้เขาเต็มก่อนเวลาของเขา และกิ่งของเขาจะไม่เขียว
33 เขาจะเป็นประดุจเถาองุ่นที่ลูกองุ่นดิบหล่นและเป็นดังต้นมะกอกเทศที่ดอกบานร่วง
ผลของบาปไม่ใช่แค่บึงไฟนรก เรื่องของโลกหน้า ความบาปบางส่วนพระเจ้าจะให้เขารับขณะอยู่ในโลกนี้ ส่วนนี้จะต้องรับเต็มที่ตามาตรฐานพระเจ้า
เหตุต้องรับความทุกข์ยาก :
โยบ.15 อธิบายสาเหตุความทุกข์ยากที่เขาต้องรับขณะอยู่ในโลก
1. ปฏิเสธพระเจ้า ต่อต้านพระองค์
โยบ.15:25-26
25 เพราะเขาได้เหยียดมือของเขาออกสู้พระเจ้า และตั้งตัวท้าทายองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
26 เขาวิ่งเข้าใส่พระองค์อย่างดื้อดึง พร้อมกับโล่ปุ่มหนา
พวกเขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ไม่ยึดคำสอนพระองค์ รักบาปชอบทำสิ่งชั่วร้าย เหล่านี้คือการแสดงออกว่าปฏิเสธพระเจ้า ต่อต้านพระองค์
คนทำบาปย่อมต้องรับผลของมัน
2. เพราะรักโลกมากกว่าพระเจ้า
โยบ.15:27 เพราะว่าเขาได้คลุมหน้าของเขาด้วยความอ้วนของเขาแล้ว และรวบรวมไขมันมาไว้ที่บั้นเอวของเขา
โยบ.15:27 ชี้ว่าคนบาปมุ่งแสวงหาความมั่งคั่ง สนใจแต่การอยู่ดีกินดี เรื่องของตัวเอง รักโลกมากกว่าพระเจ้า
คริสเตียนมั่งคั่งได้ ร่ำรวยและอยู่ดีกินดีได้ แต่ไม่รักโลก ไม่รักสิ่งที่โลกมอบให้มากกว่าพระเจ้า คริสเตียนใช้ทุกสิ่งเพื่อถวายเกียรติพระองค์
คริสเตียนกับความตาย :
1. พระพรถาวรกับคำแช่งสาปนิรันดร์
เมื่อเอ่ยถึงสวรรค์กับนรก บางคนอาจอธิบายว่าสวรรค์คือ สถานที่ๆ มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ในอีกความหมายตามหลักพระคัมภีร์ สวรรค์คือสถานที่พระเจ้าทรงสถิต ได้สัมผัสพระสิริบริบูรณ์ อยู่ใกล้พระองค์ถาวรนิรันดร์ จิตวิญญาณของผู้เชื่อกลับคืนสู่พระเจ้า (อยู่กับพระเจ้า) อย่างบริบูรณ์
นรก คือ นรกบึงไฟ ทุกข์ยากนิรันดร์ไม่จบสิ้น ในอีกความหมายคือผู้ที่ถูกแยกออกพระเจ้าถาวรและอยู่ในคำแช่งสาปตลอดไป
ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับนรก คือ การได้อยู่กับพระเจ้าหรือถูกแยกออกจากพระองค์ถาวรนิรันดร์นั่นเอง
2. ให้ความสำคัญกับชีวิตฝ่ายวิญญาณเป็นหลัก
พระเจ้าให้ความสำคัญกับชีวิตฝ่ายวิญญาณมากกว่าชีวิตฝ่ายโลก
โดยนิตินัย คริสเตียนเสียชีวิตฝ่ายโลกแล้ว หมายถึงได้ทิ้งชีวิตเก่า ตัวตนเก่า ดำเนินชีวิตใหม่ในทางพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำ อวยพร ปกป้องคุ้มครอง
คส.3:3-4
3 เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า
For you died, and your life is now hidden with Christ in God.
4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย
When Christ, who is your life, appears, then you also will appear with him in glory.
“เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว” หมายถึงชีวิตเก่าตายแล้ว ชีวิตเก่าที่ต้องพินาศพร้อมความบาป และหมายถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณที่จะอยู่กับพระองค์ตลอดไป
จงซ่อนตัวท่านไว้ในพระองค์ จงผูกติดเข้ากับพระองค์
3. พระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
2คร.5:1-5
1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์
2 เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์
3 เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย
4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย
5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
โลกเป็นแค่บ้านชั่วคราว เหมือนกายนี้เป็นกายชั่วคราว ที่อาศัยถาวรของบรรดาผู้เชื่อ “ตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์” คริสเตียนจึงไม่อาลัยกายนี้โลกนี้ จะได้อยู่กับพระองค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์
4. มั่นใจว่าจะอยู่กับพระเจ้าจากพระวิญญาณสถิตกับเรา
ความจริงแล้วทันทีที่เชื่อพระเจ้าจริงผู้นั้นได้อยู่กับพระเจ้าทางนิตินัย ส่วนจะสัมผัสได้มากน้อยขึ้นกับการละบาป (ความชอบธรรมกับอธรรมอยู่ด้วยกันไม่ได้) มีใจบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า
4.1 พระวิญญาณสามารถสถิตกับคริสเตียนทุกคน
ผู้เชื่อเป็นพระวิหารของพระองค์ เป็นที่ทรงสถิตของพระวิญญาณ
1คร.3:16,19
16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
2คร.6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า "เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา
What agreement is there between the temple of God and idols? For we are the temple of the living God. As God has said: “I will live with them and walk among them, and I will be their God, and they will be my people.”
รูปเคารพหมายถึงการรักหวงแหนสิ่งใดมากกว่าพระเจ้า จึงห่างไกลพระองค์
4.2 สัมผัสการทรงสถิตของพระวิญญาณ
คริสเตียนไม่ได้แค่เชื่อศรัทธาพระเจ้ากับปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้น ใครที่ทำเพียงเท่านี้คือผู้นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ต่างจากผู้นับถือศาสนาอื่นที่เชื่อศรัทธาศาสดาและพยามยามปฏิบัติตามคำสอน พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ สำแดงพระองค์ผ่านรูปแบบต่างๆ ที่คริสเตียนสามารถรับรู้การทรงพระชนม์อยู่นั้น เช่น ตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจงสม่ำเสมอ สัมผัสพระคุณความรัก ได้รับถ้อยคำด้วยสติปัญญา พระเจ้าพูดด้วยผ่านคำสอน ผ่านพระวจนะ ฯลฯ เหล่านี้คือตัวอย่างสัมผัสการทรงสถิตของพระวิญญาณ หรือพระวิญญาณสำแดงพระองค์
4.2.1 “รู้ได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้า”
คำถามนี้คล้ายคำถามว่า ”รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงพระเจ้า” ยกตัวอย่างเมื่ออ่านพระคัมภีร์บางครั้งบางคนอาจได้รับสติปัญญา ถ้อยคำที่มากกว่าข้อพระคัมภีร์ที่อ่าน เช่น พระคัมภีร์บทเดียวกัน ครั้งหนึ่งอ่านแล้วเกิดไอเดียแก้ปัญหากับเจ้านายที่ทำงาน ต่อมาอ่านอีกครั้งได้ความเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครอง อีกครั้งได้ข้อคิดการทำเกษตร ฯลฯ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์บทนั้นอาจไม่ได้เอ่ยเรื่องเหล่านั้นโดยตรง
4.2.2 หลักการตรวจสอบเบื้องต้น
มีหลักการตรวจสอบเบื้องต้น เช่น ไอเดีย เสียงที่ได้ยิน 1) ไม่ขัดหลักพระคัมภีร์ 2) ใช้แล้วเกิดผลดีต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณ (ส่งเสริมให้รักพระเจ้ามากขึ้น อยากดำเนินชีวิตในความชอบธรรม เกลียดบาป) 3) เป็นผลดีต่ออาณาจักรพระเจ้า
4.2.2.1 ประสบการณ์
ยกตัวอย่าง ประสบการณ์ซามูเอลในช่วงเยาว์วัย (1ซมอ.3)
ในตอนนั้น ซามูเอลเป็นเพียงเด็กน้อย ไม่เข้าใจไม่ประสีประสาอะไร เอลีมหาปุโรหิตช่วยให้ซามูเอลฟังเสียงและปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า
1ซมอ.3:4-7
4 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลและซามูเอลทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่"
5 เขาจึงวิ่งไปหาเอลีและว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนอีก" เขาก็ไปนอน
6 และพระเจ้าทรงเรียกขึ้นอีกว่า "ซามูเอลเอ๋ย" และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก"
7 ฝ่ายซามูเอลไม่เคยรู้จักพระเจ้า และยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระเจ้าแก่เขา
1ซมอ.3:9-10
9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า "จงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า "พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่"" ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
10 และพระเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆว่า "ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย" และซามูเอลทูลตอบว่า "ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่"
สังเกตว่าสิ่งที่เอลีมหาปุโรหิตผู้ดูแลซามูเอลทำคือสอนให้ฟังเสียงพระเจ้า
ประสบการณ์จะช่วยการฟังเสียง เข้าใจการทรงสถิต การสัมผัสพระเจ้า เข้าใจการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณในเรา คนที่มีประสบการณ์มากจะเข้าถึงไว เข้าใจชัด สัมผัสลึกซึ้งมากขึ้นตามลำดับ
5. จากโลกนี้อย่างสงบตามน้ำพระทัย
โยบ 5:24-26
24 ท่านจะทราบว่าเต็นท์ของท่านปลอดภัย และท่านจะตรวจดูคอกแกะของท่านและไม่ขาดไปสักตัวเดียว
25 ท่านจะทราบด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของท่านจะมากมายและลูกหลานของท่านจะเป็นอย่างหญ้าแห่งแผ่นดินโลก
26 ท่านจะมาที่หลุมศพของท่านเมื่อแก่หง่อม อย่างฟ่อนข้าวที่นำมาสู่ลานตามฤดู
ปลายทางของผู้ใดรักโลกคือความทุกข์ที่ไม่สิ้นสุด ปลายทางของผู้รักพระเจ้าคืออยู่กับพระองค์นิรันดร์
พระเยซูสอนเรื่องผู้เป็นสุข ใน มธ.5:3-12
3 "บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 "บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 "บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 "บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 "บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 "บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 "เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะ ทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
เหตุที่เป็นสุขเพราะจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ยึดพระคริสต์อย่างมั่นคง นี่คือพันธสัญญาที่พระเยซูให้ไว้
เคล็ดลับแห่งความสุขแท้คือการจดจ่อที่พระเจ้านั่นเอง (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
สดด.4:4 ข้าพระองค์จะเอนกายลงนอนหลับในความสันติ
ข้าแต่พระเจ้าเพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงกระทำให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
สรุป :
พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ต้องการปัจจัย 4 ต้องการสิ่งใดเพื่อมีชีวิตอยู่ อันที่จริงแล้วพระองค์รู้จักตัวเรามากกว่าตัวเราเองเสียด้วยซ้ำ ทรงให้ความสำคัญทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ให้ความสำคัญกับโลกหน้ามากกว่าโลกนี้ ชี้ว่าความบาปทำให้มนุษย์หลงผิด ทำบาปซ้อนบาป และรับผลของบาปมากมายตั้งแต่โลกนี้ (ยังไม่ต้องเอ่ยถึงโลกหน้า)
ความรักของพระเจ้า (อากาเป้) เป็นจุดเริ่มให้พ้นบาป มีสันติสุข ได้รับการดูแลจากพระเจ้าขณะอยู่โลกนี้ โดยตระหนักว่าโลกเป็นเพียงบ้านชั่วคราว ทุกคนกำลังจะจากไป ทรงให้มุมมองต่อชีวิตโดยให้ความสำคัญกับจิตวิญาณ
คำถามหลังคำสอน :
1) ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์
2) มีความบาปใดที่ท่านตัดสินใจทิ้ง หรือความชอบธรรมใดที่ตัดสินใจทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
--------------------------